Wednesday, November 5, 2025

เทรดด้วยกลยุทธ์ hedging คืออะไร มีข้อดี ข้อเสียอย่างไร เหมาะกับเทรดเดอร์ประเภทไหน

Hedging คืออะไร

Hedging คือการป้องกันความเสี่ยงของการลงทุน เพื่อไม่ให้ขาดทุนหนักเวลาตลาดไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง

วิธีที่นิยมใช้กันมาก คือการใช้เทรดกับออปชัน (Option) หรือตราสารอนุพันธ์ที่มีราคาผูกกับสินทรัพย์หลัก เช่น หุ้น ทองคำ หรือดัชนี

ลองนึกภาพดูว่า นักลงทุนซื้อหุ้นเพราะคิดว่าราคาจะขึ้น แต่ถ้ากลับกลายเป็นว่าราคาหุ้นตก นักลงทุนก็จะขาดทุนทันที

แต่ถ้าเขาซื้อ Put Option ไว้ล่วงหน้า (สิทธิในการขายหุ้นในราคาที่กำหนด) เขาจะสามารถทำกำไรจากการที่ราคาหุ้นร่วงลง กำไรตรงนี้จะเข้ามาช่วยชดเชยการขาดทุนจากหุ้นที่ซื้อไว้

พูดง่าย ๆ คือ Hedging = มีแผนสำรองไว้ป้องกันความเสี่ยง หากตลาดไม่เป็นไปตามที่เราคาด

ข้อดีของ Hedging

  1. ลดความเสี่ยง – ช่วยล็อกกำไร/ขาดทุนชั่วคราว ทำให้พอร์ตไม่ผันผวนรุนแรง

  2. รักษาเงินทุน – ช่วยประคองพอร์ตให้อยู่รอดในช่วงตลาดไม่แน่นอน

  3. ยืดหยุ่น – เทรดเดอร์สามารถเลือกปิดบาง Position เมื่อเห็นโอกาส เพื่อทำกำไรระหว่างทางได้

  4. เหมาะกับตลาดผันผวนสูง – เช่น ช่วงประกาศข่าวใหญ่ (NFP, CPI, การประชุม Fed)

ข้อเสียของ Hedging

  1. ซับซ้อน – ต้องมีความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างคู่เงิน/สินค้าโภคภัณฑ์

  2. ใช้มาร์จิ้นสูงขึ้น – เพราะเปิดหลายออเดอร์พร้อมกัน อาจทำให้พอร์ตติด Margin Call ได้หากคำนวณผิด

  3. ลดกำไรสูงสุด – เนื่องจากกำไรจากฝั่งหนึ่งจะถูกหักลบกับการขาดทุนอีกฝั่ง

  4. ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น – ต้องจ่ายสเปรดและค่าสวอปจากหลายออเดอร์

กลยุทธ์ Hedging เหมาะกับเทรดเดอร์แบบไหน

  • เทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์ปานกลาง–สูง
    เพราะต้องวิเคราะห์แนวโน้มและจัดการออเดอร์ซับซ้อน

  • นักลงทุนสายระยะสั้น–กลาง
    โดยเฉพาะช่วงตลาดผันผวน ข่าวแรง หรือยังไม่มั่นใจในทิศทาง

  • เทรดเดอร์ที่ต้องการบริหารความเสี่ยง
    ไม่ใช่คนที่หวัง “กำไรสูงสุด” แต่เน้น “อยู่รอด” และรักษาทุน

นี่คือตัวอย่างกราฟแสดงกลยุทธ์ Hedging บนคู่เงิน EUR/USD

  • จุดสีเขียว = Buy Entry (เริ่มต้นเปิดออเดอร์ซื้อ)

  • จุดสีแดง = Sell (Hedge) (เปิดออเดอร์ตรงข้ามเพื่อป้องกันความเสี่ยง)

กราฟนี้ช่วยให้เห็นภาพว่าแม้ราคาจะผันผวน เทรดเดอร์ก็สามารถใช้ Hedging เพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ตได้

กลยุทธ์ Hedging เหมาะกับเทรดสินค้าใดบ้าง

กลยุทธ์ Hedging (การป้องกันความเสี่ยง) สามารถประยุกต์ใช้ได้กับหลายประเภทของสินทรัพย์การลงทุน โดยแต่ละประเภทมีความเหมาะสมแตกต่างกัน ขอสรุปดังนี้:

1. Forex (คู่สกุลเงิน)

  • เหมาะมากที่สุด เพราะตลาด Forex เปิด 24 ชั่วโมง สภาพคล่องสูง สามารถเปิด Buy–Sell พร้อมกันได้ในคู่เดียว (ขึ้นอยู่กับกฎของโบรกเกอร์)

  • ตัวอย่าง:

    • เปิด Buy EUR/USD แล้วเปิด Sell EUR/USD เพื่อป้องกันการขาดทุน

    • หรือใช้ Cross Hedging เช่น Buy EUR/USD + Sell GBP/USD (เพราะ EUR และ GBP มักมีความสัมพันธ์กันกับ USD)

2. ทองคำ (Gold / XAU/USD)

  • ✅ นิยมมาก เนื่องจากทองคำมีความผันผวนสูงและตอบสนองต่อข่าวเศรษฐกิจ (เช่น ดอกเบี้ยสหรัฐ, เงินเฟ้อ)

  • มักใช้ Hedging ร่วมกับ USD Index, JPY, CHF ซึ่งเป็น Safe Haven currencies

  • ตัวอย่าง: Buy Gold + Sell USD/CHF

3. น้ำมันดิบ (Crude Oil, Brent, WTI)

  • ✅ เหมาะกับการ Hedging โดยเฉพาะนักลงทุนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมจริง เช่น สายการบิน หรือบริษัทขนส่ง

  • เทรดเดอร์รายย่อยก็สามารถใช้ Hedging ร่วมกับหุ้นพลังงาน หรือ ETF น้ำมัน

  • ตัวอย่าง: Buy Brent + Sell WTI (Cross Hedge เพราะราคามีความสัมพันธ์ใกล้เคียง)

4. ดัชนีหุ้น (Indices เช่น S&P 500, NASDAQ, DAX, SET50)

  • นักลงทุนหุ้นมักใช้ Futures หรือ Options มาป้องกันความเสี่ยงพอร์ต

  • ตัวอย่าง: ถ้าถือหุ้นเทคโนโลยีจำนวนมาก อาจ Short NASDAQ Futures เพื่อป้องกันการขาดทุนจากความผันผวน

5. คริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency เช่น BTC, ETH)

  • ใช้ได้แต่ต้องระวัง เพราะตลาดคริปโตผันผวนสูงมาก และยังไม่มีอนุพันธ์ครบเท่า Forex/หุ้น

  • วิธีที่ใช้กัน: เปิด Position ใน Spot และ Hedge ด้วย Futures/Options

  • ตัวอย่าง: ถือ Bitcoin จริง (Spot) + Short BTC Futures เพื่อป้องกันการร่วง

Hedging ไม่ค่อยเหมาะกับ

  • หุ้นรายตัว (Individual Stocks) → Hedging ทำได้ยาก เพราะสภาพคล่องน้อย และต้องใช้ออปชั่นหรือฟิวเจอร์สเป็นหลัก

  • ตราสารหนี้ (Bonds) → Hedging ใช้ได้แต่ซับซ้อน มักเป็นงานของนักลงทุนสถาบัน

Related Articles