Momentum Trading (โมเมนตัมเทรดดิ้ง) คือกลยุทธ์การซื้อขายสินทรัพย์ที่อิงกับ “แรงผลักดันของราคา” หรือ “แนวโน้มที่แข็งแรง” โดยเทรดเดอร์จะเข้าซื้อสินทรัพย์เมื่อราคากำลังขึ้นแรง และขายเมื่อราคากำลังลงแรง หลักการคือ “ซื้อเมื่อราคาแรงขึ้น” และ “ขายเมื่อแรงหมด” ไม่ซับซ้อนเท่ากลยุทธ์แบบ Hedging หรือ Arbitrage

“ราคาที่กำลังเคลื่อนไหวในทิศทางใดทิศทางหนึ่งมักจะยังคงเคลื่อนไหวไปในทิศทางนั้นต่อไป จนกว่าจะมีสัญญาณว่าโมเมนตัมเริ่มหมดแรง”

หลักการของ Momentum Trading

1. ซื้อเมื่อราคาขึ้นแรง (Breakout / Uptrend)

2. ขายเมื่อราคาลงแรง (Breakdown / Downtrend)

3. ใช้ อินดิเคเตอร์วัดแรงโมเมนตัม เช่น:

   • RSI (Relative Strength Index)

   • MACD (Moving Average Convergence Divergence)

   • Momentum Indicator

   • Rate of Change (ROC)

ข้อดีของกลยุทธ์ Momentum Trading

• เข้าเทรดตามกระแสตลาด ไม่สวนเทรนด์

• ให้โอกาสทำกำไรจากการวิ่งของราคาที่แรงและเร็ว

• เหมาะกับสินทรัพย์ที่มี Volume สูง เช่น หุ้นยอดนิยม, ทองคำ, Bitcoin

ข้อควรระวัง

• เสี่ยงโดน Fake Breakout หากไม่มีการยืนยันด้วย Volume หรืออินดิเคเตอร์อื่น

• ต้องมีการ จับจังหวะออกที่แม่นยำ เพราะราคาสามารถกลับทิศเร็ว

• ไม่เหมาะกับตลาด Sideway หรือไม่มีแรงซื้อขาย

Momentum Trading เหมาะกับใคร?

• เทรดเดอร์สาย Day Trade หรือ Swing Trade

• คนที่ชอบติดตามเทรนด์และเกาะกระแสราคา

• ผู้ที่เข้าใจการใช้ Indicator และบริหารความเสี่ยงได้ดี

คำถามพบบ่อย

Momentum Trading เหมาะกับเทรดเดอร์มือใหม่หรือไม่?

– Momentum Trading อาจเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นที่เรียนรู้เร็ว มีวินัย และยอมรับความเสี่ยงได้พอสมควร แต่ควรเริ่มต้นแบบจำกัดความเสี่ยง เพราะบางครั้งตลาดจะเปลี่ยนทิศเร็ว คนที่ไม่มีประสบการณ์ ไม่ยอมคัทลอส อาจจะเจ็บหนักก็ได้ ฉะนั้นควรพร้อมฝึกฝนจากพอร์ตเดโม่ให้ชำนาญก่อน

Momentum Trading เหมาะกับการเทรดสินทรัพย์ใดบ้าง?

– เหมาะกับสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง ราคาเคลื่อนไหวแรงๆ เช่น ทองคำ, บิทคอยน์, คู่เงิน forex, ดัชชี, หุ้นสหรัฐ เป็นต้น ไม่เหมาะกับสินทรัพย์ที่สภาพคล่องต่ำ

การเทรด Momentum Trading ควรใช้ timeframe ใด ในการเทรด?

อย่างน้อยควรจะเป็น Timeframe H1 เป็นอย่างน้อย เพราะจะเห็นเทรนด์ที่ชัดเจน ถ้าต้องการรันเทรนด์ยาว, เห็น momentum ระดับใหญ่ ควรใช้ Timeframe Day